เรื่องนี้ เป็นเนื้อหาที่สรุปจากหนังสือ 10172 วิชาการอ่านภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และมาจากค้นหาเพิ่มเติมบางส่วน
เรื่อง Reference word ที่กำลังจะเขียนสรุปต่อไปนี้ เป็นเรื่องของคำที่ผู้อ่านบทความ/ข่าว/ข้อเขียน เป็นภาษาอังกฤษ มักได้เจอบ่อยๆ
และอาจไม่รู้ว่าคำอ้างถึงเหล่านั้นหมายถึงคำใด หรือ สิ่งไหน
และบทความนี้เองจะช่วยอธิบายถึงเรื่องเหล่านั้น
หวังว่าบทความนี้จะช่วยทั้งผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
(หรือถ้าช่วยไม่ได้เลย อย่างน้อยก็หวังว่าจะช่วยให้ผู้เขียนกลับมาอ่านทบทวนซ้ำได้ เพื่อจะได้อ่านภาษาอังกฤษได้อย่างเข้าใจได้ในวันข้างหน้า อิอิ)
ปล. ขอบ่นหน่อยจิ ทำไมสันหนังสือ ของ มสธ. หลายๆ วิชา สันหักง่ายจัง หน้ากระดาษหลุดออกจากตัวเล่มอย่างบ่อยด้วย (อยากให้ทำสันหนาๆ ช่วงกลางๆ เล่ม เหมือนหนังสือเรียนของ กศน. จังครับ น่าจะไม่สันหักง่ายเกินไป)
บางคนที่มีหนังสือแล้วดูแลรักษาพวกมันอย่างดี มาเจอหนังสือพังง่ายๆ ถึงกับร้องไห้ได้เลยนะครับ
Reference word
คือ คำหรือกลุ่มคำที่ใช้อ้างถึงคำหรือกลุ่มคำอื่นที่กล่าวมาแล้ว
หรือที่จะกล่าวต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำหรือกลุ่มคำเดิมซ้ำ
Reference word แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ Pronoun references และ Noun references
1. Pronoun references
(1) Personal pronouns คือคำสรรพนามที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ
อันได้แก่ they, he, she, it
โดยการใช้คำสรรพนามเหล่านี้ก็เมื่อได้กล่าวถึงคำนาม (noun) มาก่อนแล้ว เช่น…
Some people believe that cigarette smoking is dangerous.
They want their government to start anti-smoking campaigns.
they
ในที่นี้ ใช้แทนหรืออ้างถึง “some people”
ในการใช้สรรพนามแทนคน สัตว์ สิ่งของ มีข้อควรสังเกตคือ
คำสรรพนาม “it” นอกจากจะใช้แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว
ยังอาจใช้แทนข้อความทั้งข้อความ
หรือสถานการณ์ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วทั้งหมดได้ด้วย
เช่น นาย A เล่าเรื่องบางอย่างให้ B ฟัง
แล้ว B อาจบอกว่า
It was a very good story.
It
ในที่นี้ ใช้อ้างถึงเรื่องที่ A เล่ามาแล้วทั้งเรื่อง
แม้ผู้อ่านจะเห็นประโยคนี้แค่ประโยคเดียว
ก็สามารถเดาเหตุการณ์ได้ว่า มีเรื่องที่สืบเนื่องกันนมาก่อน
หรือในตัวอย่าง…
He compared it to a colossal puff of flame, suddenly and violently squirted out of the planet, “as flaming gas rushes out of a gun”.
A singularly appropriate phrase it proved.
ในที่นี้ it
ใช้อ้างถึงคำว่า “phrase” ในประโยคสุดท้าย
เมื่ออ่านย้อนขึ้นไปก็จะพบ phrase “as flaming gas rushes out of a gun”
คำว่า it
จึงใช้แทนข้อความ “as flaming gas rushes out of a gun” ทั้งข้อความนั่นเอง
(2) Demonstrative pronouns คือคำสรรพนามที่ใช้ชี้เฉพาะ ได้แก่ this, that, these, those เช่น…
We know now that even in its equatorial region the midday temperature barely approaches that of our coldest winter.
คำว่า that
หมายถึง “temperature” นั่นเอง
และ that ยังอาจใช้แทนข้อความหรือสถานการณ์ได้ด้วย เช่น…
That was a very good idea.
that
ในที่นี้ใช้แทนสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดว่าเป็นความคิดที่ดี
(3) Relative pronouns ได้แก่ who, which, whose, that เช่น…
This is the man whose car was stolen yesterday.
whose
ในที่นี้ใช้แทน “the man” ที่นำหน้า
และบอกให้ทราบว่า “the man” เป็นเจ้าของ “car” ด้วย
หรือในตัวอย่าง…
The growth rate of human populations of tropical countries, which were in the past largely under-populated, now threatens to destroy most natural populations of plants and animals.
คำว่า which
ใช้แทน “tropical countries”
ในประโยคนี้ คำกริยา “were” ที่ตามหลัง which
บอกอยู่ในตัวว่าwhich
ใช้แทนคำนามที่เป็นพหูพจน์ (countries)
ข้อควรสังเกต คือ
ในกรณีที่มีคำนามหลายคำนำหน้ามาก่อน
คำว่าthat
และwhich
จะใช้แทนคำนามที่อยู่ใกล้ที่สุด
(4) Indefinite pronouns หรือคำสรรพนามไม่ชี้เฉพาะ เช่น some, any, several, few, everyone เป็นต้น ดังตัวอย่าง…
A: Have you got any pencils?
B: Yes, I’ve got several.
คำว่า several
ในที่นี้จึงหมายถึง “several pencils” นั่นเอง
หรือในตัวอย่าง…
A: Would you like some more?
B: No, thanks, I’ve had enough.
ในประโยคทั้งสองนี้ some
หมายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเราจะรับได้เพียงส่วนเดียว ไม่ใช่ทั้งหมด
และ enough
ก็หมายถึงสิ่งเดียวกันนั้น
ซึ่งส่วนเดียวที่ว่านี้ เราได้รับมาเป็นที่เพียงพอแล้ว
หากผู้อ่านใช้พื้นความรู้ทางไวยากรณ์ (grammar)
ประกอบความรู้เรื่องแบบแผนของประโยคที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
ก็จะสามารถคาดเดาได้ว่า ประโยคทั้งสองนี้น่าจะกล่าวถึงอาหาร
ใช้ในสถานการณ์ที่มีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปกำลังรับประทานอาหารร่วมกัน
การที่เราสามารถคาดเดาสถานการณ์หรือสิ่งที่สืบเนื่องกันได้นี้
เป็นพื้นฐานที่ดีของการทำความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ
ซึ่งความรู้เกี่ยวกับ references หรือคำอ้างถึงนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการคาดเดาสถานการณ์และเป็นสิ่งสืบเนื่อง
เราจะเห็นได้ว่า pronoun references ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น
นอกจากจะใช้อ้างถึงสิ่งที่นำหน้ามาก่อน (backward references) แล้ว
ก็ยังใช้อ้างถึงสิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไป (forward references) ได้ด้วย
คำนามที่ใช้อ้างถึงสิ่งที่กำลังจะกล่าวต่อไป
ส่วนใหญ่จะเป็นคำนามชี้เฉพาะ this
เช่น …
This is what they are going to do.
คำว่า this
ในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป
หรือในตัวอย่าง…
Now, listen to this.
ในประโยคนี้ this
ใช้อ้างถึงสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อไป
และในตัวอย่าง…
What I’m going to say to him is this.
this
ใช้แทนสิ่งที่กำลังจะพูดต่อไป
.
นอกจาคำอ้างถึงจำพวก pronoun references แล้ว
ยังมีคำอ้างถึงที่ใช้อ้างคำนามหรือกลุ่มคำนามอีกด้วยนะ
2. Noun references
เป็นคำนามหรือกลุ่มคำนามที่ใช้อ้างถึงคำนามอื่นที่เคยกล่าวมาแล้ว
มักใช้เรียกสิ่งเดียวกันโดยใช้คำอื่นแทน ด้วยจุดประสงค์…
- เพื่อขยายความ
- เพื่อทำให้ข้อเขียนน่าสนใจมากขึ้น
- เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ
… เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น…
Recent studies have shown that this close relative of the domestic dog is a highly social mammal
ในที่นี้ this close relative of the domestic dog
เป็นกลุ่มคำนามที่ใช้อ้างถึงและขายความคำว่า “wolf” ว่าเป็นญาติสนิทของสุนัขบ้าน
และในตัวอย่าง…
There can be numerous biological and hereditary reasons for the failure to grow, but lack of parental love is now being added to the list.
ในประโยคข้างต้น the list
ใช้อ้างถึงข้อความ
“numerous biological and hereditary reasons for the failure to grow”
ซึ่งเป็นเหตุผลหลายประการ จึงใช้คำว่า the list
หรือ รายการ
แทนข้อความทั้งหมด
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็คือทั้งหมดที่ผมสรุป และขยายความตามความเข้าใจต่อจากหนังสือ โดยการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเองบางส่วน หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย ณ ที่นี้
หากท่านใดเห็นข้อผิดพลาด และพอจะบอกให้ได้ว่าผิดตรงไหนบ้าง แล้วช่วย comment บอกเอาไว้ จะเป็นพระคุณอย่างมากเลยครับผม
ตอนนี้ผมขอตัวลาไปก่อน สวัสดีคร้าบบบบบ